ศัพท์+poker

คำศัพท์โป๊กเกอร์ สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเล่นโป๊กเกอร์

หาคำศัพท์

การทำความเข้าใจกับคำศัพท์โป๊กเกอร์นั้นเป็นเรื่องที่ดี มันจะทำให้การสนทนา หรือปรึกษาแฮนด์กับเพื่อนๆ ของคุณเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น และยิ่งจะช่วยให้คุณสามารถไปเล่นในโต๊ะมืออาชีพได้แบบไม่เคอะเขิน ส่วนคำศัพท์จะมีอะไรบ้างไปอ่านกันเลย

คลิกที่คำศัพท์เพื่ออ่านความหมาย

Action

: เมื่อถึงตาที่ผู้เล่นจะต้องกระทำบางอย่าง (เล่น) เช่น หากคุณผู้เล่นไม่รู้ตัวว่าถึงตาตัวเองแล้ว Dealer จะแจ้งว่า “Your Action”

: การ Bet และ Raise เช่น ถ้าบนกระดานมีไพ่หัวใจอยู่ 3 ใบ และมีผู้ที่ Action แรงๆ คุณอาจจะสันนิษฐานได้ว่าเขาได้ Flush แล้ว

Ante

: การลงเงินจำนวนเล็กน้อยที่ผู้เล่นทุกคนต้องจ่ายไว้เป็นเงินกองกลาง (Pot) ตอนเริ่มเกม มักจะใช้ในการแข่งทัวร์นาเม้นโป๊กเกอร์ แต่การเล่นแบบ Hold’em มักจะนิยมการใช้ Blind มากกว่า

All-In

: การ Bet หรือ Call แบบหมดหน้าตักจนไม่มีชิพเหลือ ผู้เล่นไม่สามารถเอาเงินไปแลกชิพเพิ่มระหว่างการแข่งขันได้

หากคุณลงจนชิพหมดแล้ว และยังอยู่ในเกม การลงของผู้อื่นจะไปอยู่ใน Side Pot และหากคุณชนะ คุณจะได้รับเงินใน Pot ที่คุณมีส่วนลงไว้เท่านั้น 

Backdoor

: การรอไพ่รอบ Turn และ River มารวมเพื่อให้ติดไพ่เรียงหรือไพ่สีเดียวกัน  เช่น สมมุติว่าคุณมีไพ่ A-7 และ Flop เป็น A-6-4  คุณ Bet และคู่แข่ง Call, Turn เป็น T และทุกคน Check

และ River เปิดเป็น J  ถือว่าคุณได้ Backdoor Flush 

Bad Beat

: การมีไพ่ที่ดีมากแต่กลับถูกคู่แข่งที่มีไพ่ที่แย่กว่าเอาชนะได้ ถือได้ว่าผู้ที่ได้ชัยชนะมานั้นโชคดีมากเพราะติดไพ่ที่ Draw ออกมาและทำให้เกมพลิก

Bet

: การลงชิพใน Pot จำนวนแรกของทุกๆรอบ รวมตั้งแต่ Pre-Flop, Flop, Turn, River  
เช่นในรอบ Pre-Flop เราก็จะนับว่า Small Blind เป็น Bet แรกของเกม

Big Blind

: การลงเงินเดิมพันเต็มจำนวนของผู้ที่นั่งด้านซ้ายถัดมาเป็นคนที่ 2 ของ Dealer ก่อนแจกไพ่ และเป็นจำนวนมากกว่า Small Blind 
เช่น ผู้ที่นั่งถัดไปทางซ้ายของ Dealer คือ Small Blind ลงเงิน 20 และซ้ายถัดไปอีกคนคือ Big Blind จะต้องลง 40 

Blank

: การลงเงินเดิมพันเต็มจำนวนของผู้ที่นั่งด้านซ้ายถัดมาเป็นคนที่ 2 ของ Dealer ก่อนแจกไพ่ และเป็นจำนวนมากกว่า Small Blind 
เช่น ผู้ที่นั่งถัดไปทางซ้ายของ Dealer คือ Small Blind ลงเงิน 20 และซ้ายถัดไปอีกคนคือ Big Blind จะต้องลง 40 

Blind

: เงินที่ผู้เล่น 2 คนที่นั่งทางซ้ายของ Dealer จะต้องลงก่อนการแจกไพ่ 
ตัวอย่าง ดูเพิ่มเติม Small Blind และ Big Blind

Bluff

: Bet หรือ Raise โดยที่คุณเชื่อว่าไพ่ของคุณอาจจะอ่อนแอกว่าของคู่แข่ง แต่มีจุดประสงค์เพื่อให้คู่แข่ง Fold เพราะคิดว่าคุณมีไพ่ที่แข็งแกร่ง

Board

: ไพ่ตรงกลางบนโต๊ะทั้ง 5 ใบ ที่ถูกเปิดในรอบ Flop, Turn และ River เช่นถ้าพูดว่า ไม่มี King ในboard เลย แสดงว่าเมื่อเปิดไพ่ตรงกลางแล้ว ทั้ง 5 ใบไม่มีไพ่ King เลย

Bottom Pair

: ไพ่คู่ที่ต่ำที่สุดใน Flop เช่น คุณมีไพ่ A-6 และ Flop เปิดมาเป็น K-T-6 แสดงว่าคุณมีไพ่คู่ที่ต่ำที่สุด เรียกว่า Flopped Bottom Pair

Burn

: เมื่อสลับไพ่เสร็จ การทิ้งไพ่ใบบนสุดคว่ำหน้าลงบนโต๊ะก่อนการวางไพ่กองกลาง เพื่อป้องกันผู้เล่นมองเห็นหรือจดจำตำหนิของไพ่ได้

Button

: เป็นเครื่องหมายหรือปุ่มที่แสดงตำแหน่งของ Dealer รวมถึงใช้เรียกผู้ที่นั่งในตำแหน่งนี้ด้วย ถ้ามีคนบอกว่า Button Raise แสดงว่าผู้เล่นตำแหน่งนี้ Raise  ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด 

Buy

: Buy The Pot ใช้ในกรณีที่ต้องการครอง Pot โดยไม่ถูก Call อาจะด้วยวิธีการบลัฟผู้อื่น 

: Buy The Button การ Bet หรือ Raise เพราะต้องการให้ผู้ที่อยู่ระหว่างคุณกับ Button หมอบไป โดยหวังว่าจะได้เป็นผู้เล่นคนสุดท้ายแทนในรอบถัดไป

Dealer

: ผู้เล่นทำทำหน้าที่แจกไพ่ ซึ่งจะมีสัญลักษณ์หรือปุ่มไว้ที่ตัว และจะเวียนกันไปในแต่ละเกมตามเข็มนาฬิกา 

ในโป๊กเกอร์จำเป็นต้องมีตำแหน่งนี้เพราะจะเป็นตัวกำหนดตำแหน่งของ Blind ซึ่งอยู่ถัดไปทางซ้ายของ Dealer ด้วย

Dog

: ย่อมากจาก “Underdog” (ดูคำว่า Underdog)

Bet

: การลงชิพใน Pot จำนวนแรกของทุกๆรอบ รวมตั้งแต่ Pre-Flop, Flop, Turn, River  
เช่นในรอบ Pre-Flop เราก็จะนับว่า Small Blind เป็น Bet แรกของเกม

Dominated

Draw

: การรอไพ่ เมื่อเรามีมือที่ยังมีไพ่ไม่ดีมากหรือยังไม่ครบ แต่อาจมีโอกาสพัฒนาได้ถ้าเปิดได้ไพ่ที่ต้องการ 

เช่นตอนนี คุณมีไพ่ที่มีดอกเดียวกันแต่ไม่เรียงกัน 2 ใบ และใน Flop มีไพ่ดอกเดียวกับคุณอีก 2 ใบ คุณจะรอ Turn หรือ River ให้เปิดมาเป็นอะไรก็ได้ที่ดอกเดียวกับของคุณ เรียกว่า Flush Draw

Drawing Dead

: การรอไพ่ที่ถึงแม้จะได้ไพ่ที่ต้องการมา ก็ไม่ทำให้คุณชนะคู่แข่งได้ 

เช่น ถ้าคุณกำลังรอ Flush แต่คู่แข่งคุณติด Full House ไปแล้ว พอคุณได้ Flush มา คุณก็ไม่ชนะอยู่ดี จึงถือว่าคุณ Draw Dead

Equity

: อัตราส่วนแบ่งใน Pot ของเรา เช่น ถ้าใน Pot มีเงินอยู่ $80 และคุณมีโอกาส 50% ที่จะชนะ เท่ากับคุณมี Equity $40 ในpot

อาจจะฟังดูเพ้อๆ แต่นี่เป็นไอเดียว่าคุณมีโอกาสที่จะชนะได้เท่าไร

Expectation

: 1)ค่าคาดหวังที่จะได้จากการเล่นในแต่ละตาโดยเฉลี่ย เช่นถ้าคุณลง $10 ใน Pot ที่มีอยู่ $50 เพื่อ Draw และปกติแล้วอัตราการชนะของคุณอยู่ที่ 25% ใน 3 ตาแรกคุณ Draw ไม่ติด และเสียไปทั้งหมด $30  ต่อมาตาที่ 4 คุณdraw และชนะมา $50 หมายความว่าใน 4 เกม คุณได้รับมา $50-$30 =$20 เท่ากับเฉลี่ย $5 ต่อเกม  ดังนั้นการเดิมพันของคุณถือเป็นบวก

: 2)ค่าคาดหวังทีจะได้จากการเล่นในระยะเวลาหนึ่ง เช่น คุณชนะ $527 ในการเล่น 100 ชั่วโมง Expectation เท่ากับ $5.27/ชั่วโมง

Extra Blind

: ค่าคาดหวังที่จะได้จากการเล่นในแต่ละตาโดยเฉลี่ย เช่นถ้าคุณลง $10 ใน Pot ที่มีอยู่ $50 เพื่อ Draw และปกติแล้วอัตราการชนะของคุณอยู่ที่ 25% ใน 3 ตาแรกคุณ Draw ไม่ติด และเสียไปทั้งหมด $30  ต่อมาตาที่ 4 คุณdraw และชนะมา $50 หมายความว่าใน 4 เกม คุณได้รับมา $50-$30 =$20 เท่ากับเฉลี่ย $5 ต่อเกม  ดังนั้นการเดิมพันของคุณถือเป็นบวก

: ค่าคาดหวังทีจะได้จากการเล่นในระยะเวลาหนึ่ง เช่น คุณชนะ $527 ในการเล่น 100 ชั่วโมง Expectation เท่ากับ $5.27/ชั่วโมง

Family Pot

: เงินกองกลางที่ผู้เล่นทุกคน (หรือเกือบทุกคน) ลงรวมกันก่อน Flop จะเรียกว่าลงอยู่ใน Family Pot นี้

Fast

: การเล่นเกมเร็ว เล่นแบบดุดัน ลงเดิมพันและ Raise หนักๆ

เช่น เมื่อคุณมีไพ่คู่ และ Flop มีไพ่เหมือนกับคุณอีก 1 ใบ แสดงว่าคุณมีโอกาสจะได้ Flush Draw คุณต้องเล่นเกมเร็วเพื่อให้คู่แข่งถอยไป

Favourite

: มือที่ผู้แข่งชอบและอยากได้เป็นพิเศษเพราะเมื่อได้แล้วมักจะชนะบ่อย อาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน

Flop

: การหมอบไพ่ทิ้ง แทนที่จะลงเดิมพันต่อ เช่นเวลาที่คุรคิดว่าได้ไพ่ไม่ดี และไม่ต้องการเดิมพันต่อแล้ว คุณหมอบเพื่อให้คู่แข่งได้เล่นต่อหรือชนะไป

Fold

: การหมอบไพ่ทิ้ง แทนที่จะลงเดิมพันต่อ เช่นเวลาที่คุรคิดว่าได้ไพ่ไม่ดี และไม่ต้องการเดิมพันต่อแล้ว คุณหมอบเพื่อให้คู่แข่งได้เล่นต่อหรือชนะไป

Foul

: เป็นมือที่ไม่สามารถเล่นได้เนื่องจากเหตุผลบางอย่าง เช่น เมื่อแจกไพ่เสร็จและเปิด Flop แล้วพบว่าผู้เล่นคนหนึ่งได้รับไพ่มา 3 ใบในมือ ผู้นั้นไม่สามารถเล่นได้ถือว่าเป็น Foul Hand

Free Card

Free Roll

: Freeroll Hand เกิดในกรณีที่ผู้เล่นสองคนมีไพ่ที่คล้ายกัน และโอกาสชนะเชื่อมโยงกับผู้เล่นอีกคน สมมุติเช่น คุณมีไพ่ A-Q ดอกจิก และคู่แข่งมีไพ่ A-Qโพธิ์แดง  Flop เป็น Q-5-T และเป็นดอกจิก 2 ใบ

ถือว่าคุณเชื่อมโยงกับคู่แข่ง แต่คุณ Free Rolling หรือเรียกว่าไม่มีต้นทุนในการแข่งขันมือนี้ เพราะคุณสามารถชนะทั้ง Pot ได้แต่คู่แข่งไม่สามารถ แต่ถ้าคุณไม่มีดอกจิก คุณต้องแบ่งเงินรางวัลใน Pot ร่วมกับคู่แข่ง

: Freeroll Tournament คือไม่มีค่าแรกเขาในการเข้าร่วมการแข่งทัวร์นาเม้นท์

Gutshot Straight

  • : ไพ่ตรงกลางที่จะมาเติมเต็มให้ติด Straight

    เช่น คุณมีไพ่ 9-8 แล้ว Flop เป็น 7-5-2  และ Turn เป็น 6 เท่ากับว่าคุณติด Gutshot Straight

Heads Up

: สถานการณ์ที่มีผู้เล่นแค่ 2 คนกำลังแข่งขันกัน หรือดวล 1 ต่อ 1 เช่นตอนเปิดเกมมาอาจจะมีผู้เล่น 6 คน แต่เมื่อถึง Turn ผู้เล่นคนอื่นๆหมอบจนเหลือผู้เล่น 2 คนดวลกัน เราเรียกว่า Heads Up

Hit

: การได้ติดไพ่จากการเปิดไพ่กองกลาง เช่น ถ้าคุณมีไพ่ AK และ Flop เป็น K-7-2 หมายความว่า Flop Hit คุณ

Hole Cards

: ไพ่ที่คว่ำหน้าลง ใช้บ่งบอกถึงไพ่ 2 ใบแรกของผู้เล่นตอนที่ยังไม่ได้เปิดออกดู

House

: สถานที่ที่กำลังจัดการแข่งเกม เช่นคาสิโน

Implied Odds

: คือ Pot Odds ที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นณ ตอนนั้น แต่รวมอยู่ในการคำนวนของคุณว่าจะได้รับถ้าชนะในเกมนี้

ตัวอย่างเช่น คุณกำลัง Call เพื่อรอติด Flush ในรอบ Turn ถึงแม้ตอนนี้ Pot Odds จะไม่ได้เป็น 4:1 (ความน่าจะเป็นที่จะติดflush)

แต่คุณมั่นใจว่าคุณจะชนะในรอบ River ถ้าคุณติด Flush

Inside Straight Draw

: หรือเรียกอีกอย่างว่า Gutshot Straight คือ การรอไพ่ที่ทำให้ติด Straight เช่น ถ้าคุณมี 9-5 และบนกระดานมี 2-7-6 ดังนั้นคุณอาจจะติดได้ถ้ามี 8

Jackpot

: การให้โบนัสพิเศษแก่ผู้เล่นที่แพ้แก่ไพ่ที่ใหญ่มาก ในเกม Hold’em ผู้แพ้มักจะแพ้แก่มือที่ได้ AA หรือดีกว่านั้น บางคลับในแคลิฟอร์เนียอาจะให้โบนัสถึง $50,000 ซึ่งเงินรางวัลนี้ได้มาจากค่าธรรมเนียมนั่นเอง

Kicker

: ไพ่ที่เป็นตัวคุมหรือตัดสินไพ่ที่ใหญ่กว่า เช่น สมมุติว่าคุณมีไพ่ AK และคู่แข่งมีไพ่ AQ แล้วใน Flop มีไพ่ A เท่ากับว่าคุณและคู่แข่งมีไพ่คู่A เหมือนกัน

แต่คุณมี King ซึ่งถือว่าเป็นตัว Kicker มากำหนดว่าไพ่ของคุณใหญ่กว่าของคู่แข่ง

Live Blind

: เมื่อผู้เล่นลงเงินเดิมพันไว้ก่อนการแจกไพ่ ผู้เล่นเหล่านั้นจะมีทางเลือก (Option) ว่าจะ Raise หรือไม่เมื่อถึงตาของตัวเอง

Maniac

: ผู้ที่เล่นแบบดุดันมากๆ ลงเดิมพันหนักๆ และบลัฟหนักๆ ผู้ที่เล่นแบบนี้เป็นนิสัยไม่ถือเป็นผู้เล่นที่ดีสักเท่าไร แต่ผู้เล่นที่ใช้วิธีนี้เป็นครั้งคราวอาจทำให้คู่แข่งสับสน ถือเป็นผู้เล่นที่น่ากลัวประเภทหนึ่ง

Muck

: ไพ่ที่หมอบหรือเบิรน์แล้ว หรือคือไพ่ที่ไม่ได้อยู่ในเกมแล้ว เช่นเมื่อผู้เล่นคิดว่าตนเองไม่สามารถจะชนะได้ จึงได้หมอบไพ่ทิ้ง ถือว่าไพ่ 2 ใบของเค้าคือ Muck

No Limit

: การเล่นโป๊กเกอร์ที่ไม่จำกัดเพดาน ผู้เล่นสามารถวางเดิมพันเท่าไรก็ได้เท่าที่มีชิพอยู่บนโต๊ะ

Nuts

: ไพ่ที่เป็นมือดีที่สุดในเกมขณะนั้น เช่น ถ้าบนกระดานมี K-J-T-4-2 ที่เป็นพิ์แดง 3 ไพ่ ถ้าใครมี A-X ที่เป็นโพธิ์แดงเหมืนกัน (X=ไพ่อะไรก็ได้) จะถือว่าเป็น Nuts

Offsuit

: ไพ่ 2 ใบที่คนละดอก (คนละสี) เช่นเมื่อคุณได้รับไพ่ 2โพธิ์ดำ และ 7 ดอกจิก

One-Gap

: ไพ่ 2 ใบที่ห่างกัน 2 ลำดับ เช่น J9s, 64

Open-Ended Straight Draw

: หรือเรียกอีกอย่างว่า Up-And-Down Straight Draw คือ การรอไพ่ 1 ใน 2 ใบเพื่อให้ติด Straight  เช่นถ้าคุณถือไพ่ 9-8 และบนกระดานมี 2-7-6 

คุณสามารถติด Straight ได้ด้วยทั้ง T (6-7-8-9-T) และ 5 (5-6-7-8-9)

Out

: ไพ่ที่ทำให้คุณมีโอกาสชนะได้ ส่วนมากจะพูดถึงเป็นจำนวน เช่น ถ้าคุณคิดว่าการได้รับโพธิ์ดำอีกใบเดียวจะทำให้คุณติด Flush และชนะ แสดงว่าคุณมี 9 Out 

Outrun

: การมาเหนือกว่า เช่น คุณบอกว่า คู่แข่ง Outrun คุณเมื่อเขาติด Flush ในรอบ River 

Overcall

: การ Call หลังจากที่มีผู้เล่นก่อนหน้าหนึ่งคนหรือมากกว่าได้ Call มาก่อนเหมือนกัน

Overcard

: เมื่อไพ่ที่คุณมี สูงกว่าไพ่ทุกใบบนกระดาน เช่น คุณมีไพ่ AQ และ Flop เป็น J-7-3 คุณไม่มีไพ่คู่ แต่คุณมีไพ่ที่สูงกว่ากระดาน 2 ใบ

ถ้าคุณติด Pair ภายหลัง ไพ่ของคุณก็มีโอกาสจะเป็น Top Pair

Overpair

: เมื่อไพ่คู่ที่คุณมีสูงกว่าไพ่ทุกใบบนกระดาน เช่น คุณมีไพ่ QQ และ Flop เป็น J-8-3 เท่ากับคุณมีไพ่ Overpair

Pay Off

: การ Call ทั้งๆที่คู่แข่งน่าจะมีมือที่ใหญ่กว่า เพราะ Pot นั้นใหญ่จนเราอยากจะ Call

เช่น คู่แข่งคุณเล่นเหมือนกับว่าเขาติด Flush แต่คุณมี Top Set คุณก็เลย Pay Off

Play The Board

: การใช้ไพ่บนกระดานทั้งหมด 5 ใบ เพราว่าไพ่ทั้ง 2 ใบของคุณไม่สามารถใหญ่ไปกว่าไพ่บนกระดานเพียวๆได้อีกแล้ว

เช่น คุณมีไพ่ 22 และบนกระดานมี 4-4-9-9-A (ไม่มี Flush) ดังนั้นมือที่ดีที่สุดที่คุณจะทำได้คือใช้ไพ่บนกระดานทั้งหมด 

แต่หากคุณใช้วิธีนี้ ผู้เล่นคนอื่นก็ทำได้เช่นกัน สิ่งที่คุณจะได้ก็คือการแบ่ง Pot กับผู้เล่นคนอื่นๆ

Pocket

: ไพ่ 2 ใบของคุณที่คุณเท่านั้นที่เห็น (เหมือนกับ Hold Cards) เช่นถ้าบอกว่า ฉันมี Pocket Sixes แปลว่ามีไพ่คู่ 6

Pocker Pair

: การได้ไพ่ 2 ใบที่มีตัวเลขเดียวกัน เรียกว่าไพ่คู่ เช่น 22,44

Post

: การลงเงิน Blind เมื่อคุณเพิ่งเข้ามาในเกม และในบางกรณีที่คุณเปลี่ยนที่นั่งออกจากตำแหน่ง Blind

เช่น ถ้าผู้เล่นคนหนึ่งลุกจากโต๊ะและไปนั่งอีกตำแหน่งที่ทำให้เค้าห่างจาก Blind มากขึ้น เขาจะต้อง Post Extra Blind เพื่อให้ได้มือ (ดู Extra Blind)

Pot Limit

: การเล่นที่สามารถลงเดิมพันได้มากสุดได้เท่าเงินใน Pot ขณะนั้น

เช่น เมื่อถึงตาคุณลงเงิน และในขณะนั้น Pot มีอยู่ $200 คุณสามารถลงได้สูงสุดคือ $200

Pot Odds

: จำนวนเงินใน Pot เทียบกับจำนวนเงินที่คุณต้องลงเพื่อเล่นต่อ 

ตัวอย่างเช่น ตอนนี้มีเงินใน Pot $60 และผู้เล่นก่อนคุณลง $6 ดังนั้นใน Pot มี $66 หากคุณจะลง ต้องลง  $6 เท่ากับว่า Pot Odds เป็น 11:1 ถ้าโอกาสในการติดไพ่ที่ดีสุดคือ 1 ใน 12 คุณควรจะ Call 

Pot Odds ยังสามารถใช้กับ Draw ได้ เช่น ถ้าคุณกำลังรอไพ่อีกใบเพื่อให้ติด Flush  เท่ากับคุณ 4:1 Underdog เพื่อจะได้ Flush  

ดังนั้นหากคุณต้อง Call $8  ใน Pot 8 ควรจะมีเงินอยู่ $32 ถึงจะคุ้ม

Price

: Pot Odds ที่คุณใช้พิจารณาในการ Draw หรือ Call  เช่นถ้า Pot นี้ให้ Price คุณที่สูง ก็คุ้มค่าที่คุณจะ Draw

Protect

: การระวังไม่ให้ไพ่กลายเป็นไพ่เสียโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่นไม่ให้หงายออกตอน Dealer แจกไพ่

การลงเงินใน Pot ให้มากๆ เพื่อไม่ให้ Blind ที่ลงไปต้องสูญเปล่า เช่น บอกว่าผู้เล่นคนนั้นมักจะ Protect Blind ของเขา ไม่ว่าเขาจะมีไพ่ที่แย่ขนาดนั้น 

Quads

: ไพ่ที่มีหน้าเดียวกัน 4 ใบ เช่น 7777 หรือ AAAA

Ragged

: หมายถึง Flop หรือไพ่บนกระดานที่ไม่ได้ช่วยอะไรผู้เล่นเท่าไร เช่น Flop เปิดเป็น J-6-2  (ดูแล้วไม่ช่วยให้ติดอะไรเท่าไร) 

Rainbow

: หมายถึง Flop ที่ประกอบด้วยไพ่คนละสีทั้ง 3 ใบ ดังนั้นจะไม่มีทางติด Flush ได้ในรอบ Turn 

และยังหมายถึงไพ่ 5 ใบบนกระดานที่ไม่มีสีไหนรวมกันเดิน 2 ใบด้วย เพราะไม่ช่วยให้ติด Flush ได้เช่นกัน

Raise

: การเกเงินเพิ่มเข้าไปในการลงเดิมพันของคนก่อนหน้า เช่น ผู้เล่นก่อนเราเดิมพันมา $10 แล้วเรา Raise เป็น $15

Rake

: ค่าธรรมเนียมที่ Dealer เก็บจาก Pot ถือเป็นรายได้ของเว็บหรือคลับที่เราเข้าไปเล่น

Rank

: ตัวเลขที่แสดงอันดับของไพ่แต่ละใบ เช่น Jack, 7, 4

Represent

: การแสดงออกเหมือนกับกำลังมีไพ่ใดๆอยู่ เช่น สมมุติคุณ Raise รอบ Pre-Flop และ Raise อีกเมื่อ Flop เป็น A เท่ากับว่าคุณกำลังแสดงราวกับคุณมี A และ Kicker (ตัวคุมไพ่) ที่สูงอีกตัว

Ring Game

: การเล่นโป๊กเกอร์ทั่วไปที่ไม่ใช่ทัวนาเม้นท์ หรือเรียกอีกอย่างว่า “Live Game”  เพราะใช้เงินในการเล่นแทนที่จะเป็นทัวร์นาเม้นชิพ

River

: เป็นไพ่ใบที่ 5 และใบสุดท้ายที่จะถูกเปิดในไพ่กองกลาง เรียกอีกชื่อว่า “Fifth Street” 

Rock

: ผู้เล่นที่ Tight มากๆ คือไม่เล่นไพ่หลากหลาย มักจะ Raise ก็ต่อเมื่อตัวเองมีมือที่ดีมากๆ

ผู้เล่นประเภทนี้สามารถคาดเดาได้ง่าย  หากเขา Rasie รอบ River คุณเตรียมตัวเผ่นได้เลย เพราะแสดงว่าเขาต้องมีไพ่ที่ดีมากแน่นอน

Runner

: คนมักจะพูดว่า “Runner Runner” เพื่อเรียกมือที่ติดไพ่ในรอบ Turn และ River ดูเพิ่มเติม “Backdoor”

Scare Card

: ไพ่ที่อาจจะเปลี่ยนจากมือที่ดีเป็นเพียงขยะได้ เช่น ถ้าคุณมี T-8 และ Flop เป็น Q-J-9 คุณกำลังมั่นใจว่าคุณจะได้มือที่ดีที่สุด 

อย่างไรก็ตาม หาก Turn ออกมาเป็น T จะเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับคุณ เพราะจะทำให้ไพ่คุณถูกเอาชนะได้ง่ายขึ้นทันที (กองกลางแข็งมาก ผู้อื่นก็สามารถใช้ได้)

Second Pair

: ไพ่คู่ที่รองจาก Top Pair เช่น ถ้าคุณมี A-T และ Flop เป็น K-T-6 เท่ากับว่าคุณได้ติดไพ่ Second Pair

Sell

: หรือเรียกอีกอย่างว่า Sell A Hand เป็นการลงเดิมพันที่น้อยกว่าที่ควรจะลงเมื่อคุณได้ไพ่มือที่แข็งมาก เพื่อหวังล่อให้ผู้เล่นคนอื่น Call เพราะถ้าลงที่ Maximum Bet คู่แข่งอาจจะ Fold ไปซะก่อน

Semi-Bluff

: การ Bet หรือ Raise และหวังว่าคู่แข่งจะไม่ Call แต่ถ้าพวกเขา Call คุณก็มีไพ่ที่อาจจะพัฒนาต่อได้อยู่

เช่น คุณมี K-Q และ Flop เป็น T-5-J คุณเลือกที่จะลงเดิมพันและหวังว่าคู่แข่งจะ Fold นั่นเรียกว่า Semi-Bluff อย่างไรก็ตาม หากคู่แข่งไม่ Fold ไพ่ของคุณก็ยังมีลุ้นที่จะพัฒนาต่อได้  

Set

: หมายถึงไพ่ตอง โดยที่คุณมีไพ่คู่อยู่ในมือ และบนกระดานมีไพ่ที่เหมือนไพ่ของคุณอีก 1 ใบ เช่นคุณถือไพ่ 33 และบนกระดานมี 3-5-8

Short Stack

: จำนวนของชิพที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับของผู้เล่นคนอื่นๆบนโต๊ะ เช่น ถ้าคุณมีชิพอยู่ $10 ในขณะที่ผู้เล่นคนอื่นๆมีมากกว่า $100 

Showdown

: เมื่อผู้เล่นที่เหลืออยู่หงายไพ่และตัดสินว่าไพ่ใครดีกว่ากัน เช่น ถ้าหลังจากการลงเดิมพันของการเปิดไพ่รอบที่สี่เสร็จสิ้น และไม่มีใคร Call หรือ Raise ก็จะไม่มีการ Showdown

Side Pot

: Pot ที่เกิดขึ้นเมื่อมีผู้เล่นคนใดคนหนึ่งชิพหมด (อาจจะเพราะ All-In ไป) เช่น นาย ก ลงเดิมพัน $6, นาย ข Call, นาย ค Call แต่ว่านาย ค มีชิพเหลือเพียง $2 เงิน $6 จะไปอยู่ที่ Pot แรก

ส่วนเงิน $8 จะไปอยู่ที่ Side Pot และเฉพาะ นาย ก กับ นาย ข เท่านั้นที่สามารถได้เงินนี้ไปหากชนะ ส่วนหายนาย ค ชนะ จะได้รับเพียงเงินในส่วนของ Center Pot หรือ Pot แรกที่ตัวเองลงเท่านั้น

Slow Play

: การเล่นไพ่ที่มือดีมากๆแบบช้าๆ ไม่รีบลงเยอะๆ เพื่อหวังให้ผู้เล่นคนอื่นยังอยู่ในเกม

Small Blind

: เป็นตำแหน่งที่นั่งถัดไปทางซ้ายมือคนแรกของ Dealer และต้องลงเงินเป็นคนแรกก่อนแจกไพ่ แต่ลงเงินน้อยกว่ากว่า Big Blind คือ Small Blind ลงเงิน 20 และซ้ายถัดไปอีกคนคือ Big Blind จะต้องลง 40 

Smooth Call

: คล้ายกับการ Slow Play คือค่อยๆ Call ทั้งๆที่มีไพ่ที่แข็งมากอยู่ในมือ เช่น คุณมีไพ่ Flush แต่ก็ Smooth Call เมื่อผู้เล่นก่อนหน้า Bet มา เพื่อไม่ให้คนอื่นตกใจกลัวและ Fold หนีซะก่อน

Split Pot

: การแบ่งเงินกองกลาง (Pot) เท่าๆกันระหว่างผู้เล่น 2 คนหรือมากกว่านั้น เพราะว่ามีมือที่เท่ากัน

Split Two Pair

: หมายถึง ไพ่คู่ 2 คู่ที่ ครึ่งหนึ่งของแต่ละคู่อยู่ในมือคุณ และอีกครึ่งหนึ่งของแต่ละคู่อยู่บนกระดาน เช่น คุณมีไพ่ T-9 และ Flop เป็น T-9-5 ถือว่าคุณได้ Split Two Pair

ซึ่งต่างจาก Two Pair ที่หมายความว่า มีไพ่หนึ่งคู่อยู่บนกระดาน เช่น คุณมีไพ่ T-9 และ Flop มีไพ่ 9-5-5

Spread-Limit

: การลงเดิมพัน (Bet) เท่าไรก็ได้โดยต้องอยู่ใน Range ที่กำหนด เช่น หากกำหนดไว้ที่ $2-$6 ผู้เล่นสามารถลงเดิมพันน้อยสุดที่ $2 และมากสุดที่ $6 ในทุกๆรอบ

Straddle

: การเลือกลง Extra Blind โดยผู้เล่นที่อยู่ทางซ้ายของ Big Blind โดยสามารถเลือกว่าจะลงเท่าหรือสองเท่าของ Big Blind ถือเป็นการสร้างมูลค่าใน Pot 

ผู้ที่วาง Straddle จะได้ตัดสินใจเป็นคนสุดท้ายในรอบ Pre-Flop และยังสามารถ Re-Raise ได้อีกด้วย

String Bet

: การ Bet หรือ Raise ที่ผู้เล่นไม่ลงชิพที่ต้องการลงไปในครั้งเดียว ซึ่งการลงแบบนี้นับว่าผิดจรรยาบรรณในการเล่น เพราะทำให้มีโอกาสได้สังเกตพฤติกรรมผู้เล่นคนอื่น 

เช่น หากคุณต้องการลง $100 แต่คุณยื่นชิพลงไปครั้งแรก $60 และยื่นลงไปอีกครั้ง $40 คุณอาจจะได้รับอนุญาติให้ลงเงินแค่ในครั้งแรกที่ยื่นชิพลงไป นอกจากว่าคุณจะพูดออกมาก่อนว่าจะลงเท่าไรค่อยยื่นชิพออกไป

Structure

: หมายถึงโครงสร้างในการลงเดิมพันในโป๊กเกอร์ มักจะใช้เพื่อกำหนดราคาที่จะลงเงินใน Pre-Flop และ Flop กับการลงเงินเป็น 2 เท่าในรอบ Turn และ River

เช่น A $2-$4 Structured Hold’em Game หมายความว่า การลงเดิมพันและเกที่ $2 ในรอบ Pre-Flop และ Flop และลงเดิมพันและเกที่ $4ในรอบ Turn และ River

Suited

  • : เมื่อคุณได้ไพ่ 2 ใบที่มีสีเดียวกัน เช่น J-3 ที่มีสีเดียวกัน ก็เรียกว่า Suited

Table Stakes

: หมายถึงกฏในการเล่นโป๊กเกอร์เรื่องของการลงชิพ ที่ผู้เล่นสามารถใช้ชิพที่อยู่ตรงหน้าเพื่อลงใน Pot เท่านั้น ผู้เล่นไม่สามารถไปเอาเงินมาเพิ่มได้ระหว่างที่กำลังเล่นอยู่ในเกม

หากว่าเล่นแล้วลงชิพจนหมด ผู้ที่เล่นต่อก็จะลงใน Side Pot แทน ซึ่งผู้ที่ชิพหมดไปแล้วจะไม่มีส่วนได้ใน Side Pot นี้ แต่จะมีส่วนได้ใน Main Pot ที่ตัวเองได้ลงเงินไปด้วยเท่านั้น

Tell

: พฤติกรรมหรือท่าทางของผู้เล่นที่เผลอแสดงออกมา แล้วทำให้ผู้เล่นคนอื่นรู้เป้นนัยหรือสามารถคาดเดาไพ่ในมือได้ เช่น การแสดงสีหน้า การถอนหายใจ หรือน้ำเสียงของผู้เล่นที่เปลี่ยนไป

Tilt

: การเล่นอย่างหัวร้อน ดุดัน และค่อนข้างจะไม่มีเหตุผล ผู้เล่นที่เริ่ม Tilt จะเล่นไม่ได้ดีเหมือนที่เคย เล่นหลายมือเกินไป พยายามจะบลัฟอย่างดุเดือด หรือเกทั้งๆที่ไม่มีไพ่ที่แข็งแกร่ง

เช่น ถ้าผู้เล่นแพ้หลายตาติดกัน อาจเกิดอาการหัวร้อน แต่ยังพยายามเล่นต่อและลงชิพอย่างไม่มีเหตุผล

Time

: ผู้เล่นใช้ในการขอยืดเวลาเพื่อตัดสินใจ เช่น ผู้เล่นบอกว่า Time, Please! แสดงว่าขอให้รอตัดสินใจอย่าเพิ่งข้ามไป หากผู้เล่นคิดนานและมีคนอื่นๆรออยู่จำนวนมาก Dealer อาจจะถือว่าผู้เล่นคนดังกล่าวได้หมอบไปแล้ว

Toke

: เป็นเงินสินน้ำใจจำนวนเล็กน้อย (ประมาณ  $.50 หรือ $1) ที่ผู้ชนะให้แก่ Dealer ซึ่งถือเป็นรายได้ส่วนใหญ่ของ Dealer เลยทีเดียว

Top Pair

: ไพ่คู่ที่สูงที่สุดบน Flop เช่น ถ้าคุณมีไพ่ A-Q และ Flop เปิดเป็น Q-T-6 เท่ากับว่าคุณได้ไพ่ตู่ที่สูงที่สุดบน Flop

Top Set

: ไพ่ตองที่สูงที่สุด เช่น ถ้าคุณมีไพ่ T-T และ Flop เปิดเป็น T-8-9 เท่ากับว่าคุณได้ไพ่ตองที่สูงที่สุดบน Flop

Top Two

: การติดไพ่คู่ 2 คู่ที่มีแต้มสูงสุด โดยที่ใช้ไพ่ทั้ง 2 ใบของคุณเข้าคู่กับไพ่อีก 2 ใบจากกระดาน เช่น คุณมีไพ่ J-Q และบนกระดานมีไพ่ J-Q-7 ซึ่งถือว่าคุณได้ไพ่คู่ที่แข็งพอตัว

Top And Bottom

: การติดไพ่คู่ 2 คู่ โดยได้ไพ่ที่มีแต้มสูงสุด 1 คู่และไพ่ที่มีแต้มต่ำสุด 1 คู่ โดยที่ใช้ไพ่ทั้ง 2 ใบของคุณเข้าคู่กับไพ่อีก 2 ใบจากบนกระดาน เช่น คุณมีไพ่ Q-3 และกระดานมี 9-3-4-5-Q เปิดเป็น

Trips

: หรือเรียกอีกอย่างว่า Three Of A Kind คือการติดไพ่ตอง โดยที่คุณมีในมือ 1 ใบและเหมือนกับไพ่กองกลางอีก 2 ใบ เช่น คุณมีไพ่ A-7 และใน Flop มีไพ่ 7-7-K

(ต่างจาก Set ทีคุณมีไพ่คู่และกองกลางมีเหมือนกับคุณอีก 1 ใบ)

Turn

: ไพ่กองกลางใบที่ 4 ที่ถูกเปิดออก หรือเรียกอีกชื่อว่า Fourth Street

Under The Gun

: คือตำแหน่งที่อยู่ทางซ้ายของ Big Blind และต้องตัดสินใจเป็นคนแรกก่อนในช่วง Preflop 

เช่น ถ้าคุณนั่งอยู่ทางซ้ายของ Big Blind คุณก็เป็นคนแรกทีต้องตัดสินใจหลังจากที่big Blind ลงเงิน

Underdog

: ผู้เล่นที่มีโอกาสชนะน้อย (มักจะแพ้) เช่น ถ้าคุณมีไพ่ 10-10 และคู่แข่งมีไพ่ AA แสดงว่าคู่แข่งมีโอกาสชนะ 80% ในขณะที่คุณ Underdog 4:1 เพราะมีโอกาสชนะเพียง 20% เท่านั้น

Value

: การเดิมพันเพื่อหวังผลกำไร เมื่อคุณลงเดิมพันแล้วหวังให้คู่แข่ง Call ซึ่งเป็นเรื่องปกติถ้าคุณได้มือที่ดี

Variance

: ความผันผวนขึ้นลงของกำไรของคุณที่ผ่านมา ความผันผวนนี้ไม่ใช่เครื่องชี้วัดว่าคุณเล่นได้ดีแค่ไหน เพียงแต่บอกว่าหากความผันผวนยิ่งสูง Bankroll ของคุณยิ่งผันผวนมาก